วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

กิจกรรมที่ 1 คลังความรู้และข้อสอบ


TCAS 


ประวัติศาสตร์เส้นทางสู่มหาวิทยาลัย

Old Entrance

2504
- เพราะสมัยก่อนมหาวิทยาลัยยังมีน้อย แค่ห้าสถาบัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยศิลปากร รวมทั้งยังไม่มีหน่วยงานกลางเข้ามาดูแลโดยตรง ฉะนั้น การจัดสอบจึงเป็นการร่วมมือกันเองของเหล่ามหาวิทยาลัย โดยมี มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นเจ้าภาพจัดการคัดเลือก

2516
- มหาวิทยาลัยมีมากขึ้น + เกิดทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐ (คำสั่งแต่งตั้งวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2515 และ ปี 2520 เปลี่ยนชื่อเป็นทบวงมหาวิทยาลัย) ทำให้ปีนี้เกิดการสถาปนาการเอ็นทรานซ์ขึ้นอย่างเป็นทางการ
- สอบครั้งเดียว เลือกหกอันดับ
เกิดสถาบัน กวดวิชา
นักเรียนสอบเทียบ เพราะไม่ต้องใช้เกรดสอบเข้ามหาวิทยาลัย เช่น สอบหมอได้ตั้งแต่อายุ 16 ตอนเรียนจบเป็นหมอจริงๆ อายุ 22 ปีเร็วเกินไป

New Entrance

2542-2549
- เกิดการปฏิรูปการสอบครั้งใหญ่ เพราะอยากจะลดความเครียด + ลดปัญหาเรื่องการสอบเทียบ
- จัดสอบสองครั้ง ตุลาคม และ มีนาคม รู้คะแนนก่อน โดยเอาคะแนนที่ดีที่สุดมาใช้สมัคร
- เลือกอันดับได้สี่อันดับ เก็บคะแนนสะสมไว้ได้อีกสองปี
- แต่การสอบในเดือนตุลาคม เด็กยังไม่จบ ม.6 เท่ากับว่า ทำให้ครูต้องเร่งสอนให้ทันจบ ม.ปลาย ทั้งหมดภายในสองปีครึ่ง
- ในตอนแรก มีแผนจะใช้คะแนนสอบ 90 เปอร์เซ็นต์ + GPA (เกรดเฉลี่ยแยกตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ตลอดหลักสูตรมัธยมปลายหรือเทียบเท่า) + PR (ระดับเปอร์เซ็นต์ไทล์ในช่วงมัธยมปลาย) รวมเป็น10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อลดปัญหาเรื่องนักเรียนเรียน ม.ปลาย ไม่ครบ
- แต่การวางแผนใช้ระบบ GPA และ PR ไม่ได้บังคับใช้ในปี 2542 เนื่องจากเด็กที่จบ ม.6 ในปี 2542 ต่อต้าน เพราะไม่ได้เตรียมสะสมเกรดมาตั้งแต่เริ่มมัธยมปลาย
- GPA และ PR ถูกใช้จริงในปี 2543 โดยคิดเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ + คะแนนสอบอีก 90 เปอร์เซ็นต์
- จากนั้นไม่กี่ปี มีความพยายามเพิ่มสัดส่วนระบบเกรด เป็น 25 เปอร์เซ็นต์ แต่ด้วยความแตกต่างของแต่ละโรงเรียน แผนนี้ก็เลยถูกต้านและพับเก็บไป
- สุดท้าย ปลายทางก็คือกวดวิชา

Admission

2549
- เปลี่ยนระบบมาเป็นแอดมิชชั่น เพราะเด็กเริ่มไม่สนใจการเรียนช่วง ม.ปลาย จึงเพิ่มคะแนนเกรดเฉลี่ยสะสม GPAX (เกรดเฉลี่ยของทุกวิชาที่ได้เรียนมาตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า) และเกรดเฉลี่ยกลุ่มสาระ GPA รวมเป็น 30 เปอร์เซ็นต์
- เกิดการสอบ A-NET (Advanced National Educational Test) และ O-NET (Ordinary National Educational Test)
- ระบบนี้ใช้คะแนน GPAX 10 เปอร์เซ็นต์ และ GPA รวม 20 เปอร์เซ็นต์ คู่กับ A/O-Net โดยขึ้นอยู่กับแต่ละคณะและมหาวิทยาลัยว่า จะใช้ A/O-Net ในสัดส่วนเท่าไร A-Net มีตั้งแต่ 0-35 เปอร์เซ็นต์ และ O-Net  มีตั้งแต่ 35-70 เปอร์เซ็นต์ไปเลย
- แต่เด็กบอกว่าไม่แฟร์ เพราะแต่ละโรงเรียนมีมาตรฐานการสอนไม่เหมือนกัน แล้วจะให้เป็นมาตรฐานทั้งประเทศได้ยังไง ที่สำคัญ ใช้เกรด 30 เปอร์เซ็นต์ไม่ใช่น้อยๆ
- เมื่อไม่มีความเท่าเทียม เพราะเด็กไม่เชื่อถือข้อสอบกลาง การรับตรงจากมหาวิทยาลัยจึงบูมมาก 

2553
- ต้องการแก้ปัญหาเรื่องใช้เกรดเฉลี่ยมากไป จึงลดสัดส่วน GPAX และ GPA เหลือแค่ GPAX 20 เปอร์เซ็นต์ และใช้รวมกับคะแนน O-Net อีก 30 เปอร์เซ็นต์ (ทุกคณะเหมือนกันหมด)
- เปลี่ยนจาก A-Net เป็นสอบ GAT/PAT แทน (General Aptitude Test / Professional A Aptitude Test)
- GAT เป็นการสอบวัดความถนัดทั่วไป เป็นข้อสอบเชื่อมโยง ไม่ต้องรอให้เรียนจบ สอบได้ตลอดทั้งปี จึงเปิดให้สอบสี่ครั้ง แล้วเปลี่ยนมาเป็นสามครั้ง และสองครั้ง ตามลำดับ ซึ่งตอนนี้เสถียรอยู่ที่สองครั้ง
- แต่การสอบ GAT-PAT ไม่ตอบโจทย์กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) จึงเปิดสอบเจ็ดวิชาของกลุ่มแพทย์เอง
- และตอนที่เปิดให้สอบหลายครั้ง คะแนน GAT/PAT ครั้งแรกจะออกมาเดือนธันวาคม-มกราคม มหาวิทยาลัยจึงเริ่มเปิดรับตรงตั้งแต่คะแนนครั้งแรกประกาศ

2556
- เพื่อแก้ปัญหากับ กสพท. และ มหาวิทยาลัยต่างๆ ที่จัดสอบตรงเอง จึงจัดให้มีการสอบเจ็ดวิชาสามัญ (พ.ศ. 2558 เพิ่มจัดสอบเป็นเก้าวิชาสามัญ) เป็นข้อสอบกลางใช้รับตรงร่วมกัน
- เกิดระบบเคลียริงเฮาส์ (Clearing House) ขึ้นมาเพื่อยืนยันสิทธิ์เข้าศึกษาสำหรับคนที่ติดรับตรง และตัดสิทธิ์ออกจากการคัดเลือกในระบบแอดมิชชั่น

2561
Clearing House / Entrance is coming back
ช่วงที่ 1 ระบบสอบกลาง ครั้งเดียว คือ การสอบ GAT/PAT และเก้าวิชาสามัญ จะมีขึ้น หลังจากนักเรียนเรียนจบชั้น ม.6 แล้ว โดยจะจัดสอบกลางเดือนมีนาคม โดยใช้ระยะเวลาการจัดสอบประมาณหกสัปดาห์ สองเดือน และจะไม่ให้มีการเปิดสอบรับตรงนอกช่วงเวลานี้ แต่หากมหาวิทยาลัยใดมีความจำเป็นต้องเปิดรับตรง ต้องชี้แจงเหตุผลความจำเป็นต่อรัฐมนตรี
ช่วงที่ 2 ระบบเคลียริงเฮาส์ อย่างน้อยสองรอบ เมื่อมีการประกาศผลคะแนนสอบกลาง นักเรียนจะรู้คะแนนของตัวเองก่อน ทำให้ประมาณได้ว่าจะไปแข่งกับใครหรือหลักสูตรใด และเลือกเรียนในสาขาวิชาที่ต้องการได้สี่อันดับ ผ่านระบบเคลียริงเฮาส์ที่จะมีอย่างน้อยสองรอบ
- รอบแรก นักเรียนยื่นคะแนนสอบกลางไปที่มหาวิทยาลัยแล้ว มหาวิทยาลัยก็จะส่งชื่อนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่ระบบเคลียริงเฮาส์ และแจ้งให้นักเรียนทราบว่าผ่านการคัดเลือกกี่แห่ง พร้อมให้เลือกว่าจะยืนยันสิทธิ์เข้าศึกษาที่ใด หากนักเรียนเลือกยืนยันสิทธิ์เข้าศึกษา ก็จะถูกตัดสิทธิ์จากระบบเคลียริงเฮาส์รอบสองทันที
- รอบสอง นักเรียนที่ไม่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรก และนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกแต่ไม่ได้ยืนยันสิทธิ์เข้าศึกษา สามารถยื่นคะแนนสอบเพื่อเข้าสู่ระบบเคลียริงเฮาส์ในรอบสอง

ระบบ TCAS คืออะไร?


TCAS หรือ Thai University Center Admission System เป็นระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งจะเริ่มนำมาใช้ในปีการศึกษา 2561 เป็นระบบที่ออกแบบโดยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)

TCAS มีขั้นตอนอย่างไร
ระบบ TCAS ที่ทาง ทปอ. ได้ประกาศออกมา มี 5 ขั้นตอน ดังนี้


1. คัดเลือกโดยการส่งแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
ในรอบนี้จะพิจารณาจากผลงานของนักเรียนที่นำมาใส่ Portfolio ไม่มีการสอบข้อเขียน ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยจะคัดเลือกนักเรียนจำนวนหนึ่ง อาจจะมีกาสัมภาษณ์หรือทดสอบทักษะเฉพาะทาง โดยการคัดเลือกในรอบนี้เป็นแค่การ Pre-screening เท่านั้น
2. สมัครโควตาแบบมีสอบข้อเขียน สำหรับนักเรียนในพื้นที่
ในรอบนี้จะเป็นการรับนักเรียนแบบโควตา สำหรับนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ หรือ รอบเขตการศึกษา ที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนด ในขั้นตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยสามารถจัดสอบเองได้เลย หรือจะใช้ข้อสอบส่วนกลาง อย่าง 9วิชาสามัญ หรือ GAT/PAT เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษา
3. การรับตรงร่วมกัน
ในรอบนี้เป็นการสอบรับตรง ซึ่งโครงการรับตรงอย่าง กสพท. ก็รวมอยู่ในรอบนี้ด้วย โดยทาง ทปอ. จะเป็นส่วนกลางในการรับสมัครในรอบนี้ และทางมหาวิทยาลัยจะพิจารณาผลการคัดเลือก โดยผู้สมัครสามารถเลือกได้ 4 สาขาวิชา
4. การรับ Admission
ในรอบนี้ยังคงใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกแบบ Admission โดยใช้องค์ประกอบของคะแนน อย่างเช่น GPAX, O-NET, GAT/PAT หรืออื่นๆ ซึ่งผู้สมัครสามารถเลือกได้ 4 สาขาวิชา
5. การรับตรงแบบอิสระ
ทางมหาวิทยาลัยสามารถใช้เกณฑ์การสอบที่จัดขึ้นเอง หรือการสอบวิชาเฉพาะ และส่งผลการคัดเลือกให้ทาง ทปอ.




9 วิชาสามัญ คืออะไร?
     

9 วิชาสามัญ คือข้อสอบกลางของ สทศ. ที่มีทั้งหมด 9 วิชา สำหรับสอบเพื่อเอาคะแนนไปยื่นรับตรงกับมหาวิทยาลัย โดยจะมีการสอบปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ในช่วงเดือน มกราคม ของทุกปี และเปิดให้เฉพาะนักเรียนที่ศึกษาอยู่ระดับชั้น ม.6 ขั้นไปเท่านั้นที่จะมีสิทธิสอบ

ข้อสอบทั้ง 9 วิชา จะเป็นข้อสอบแบบปรนัย 5 ตัวเลือก เลือกคำตอบที่ถูกที่สุด 1 คำตอบ มีคะแนนเต็ม 100 คะแนนทั้ง 9 วิชา

1. วิชาภาษาไทย (50 ข้อ)

ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่ใช้ออกข้อสอบ ดังนี้
·       การอ่าน
·       การวิเคราะห์จุดประสงค์/ เจตนาของผู้เขียน
·       การอ่านเพื่อเข้าใจเนื้อหา
·       การจับใจความ / การสรุปสาระสำคัญของข้อความ
·       การวิเคราะห์ข้อคิด / แนวคิดที่ได้จากการอ่าน
·       การอนุมานจากเนื้อหาของข้อความที่อ่าน
·       ท่าที/ น้ำเสียง / อารมณ์ความรู้สึก / ความคิดเห็นของผู้เขียน
·       การเขียน
·       การลำดับข้อความ
·       การเรียงความ
·       การพรรณนา / บรรยาย / อธิบาย
·       การใช้เหตุผล
·       การแสดงทรรศนะ
·       การโต้แย้ง
·       การโน้มน้าว
·       การพูด การฟัง
·       การวิเคราะห์จุดประสงค์ในการพูด
·       การใช้ข้อความถามและตอบที่สัมพันธ์กัน
·       การวิเคราะห์น้ำเสียงของผู้พูด
·       การตีความ / อนุมาน / วิเคราะห์สาร / บุคลิกภาพของผู้พูดหรือผู้ฟัง
·       หลักการใช้ภาษา
·       การสะกดคำ
·       การใช้คำให้ถูกความหมาย
·       ประโยคกำกวม
·       ประโยคสมบูรณ์
·       ระดับภาษา
·       การใช้สำนวนถูกต้องตามความหมาย
·       ชนิดของประโยคตามเจตนา
·       คำที่มีความหมายตรง / อุปมา
·       คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ


2. วิชาสังคมศึกษา (50 ข้อ)

ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่ใช้ออกข้อสอบ ดังนี้
·       ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม
·       ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ ตนนับถือ และศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติ ตามหลักธรรมเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
·       ปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดีและธำรงรักษาพระพุทธศาสนาหรือ ศาสนาที่ตนนับถือ
·       หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม
·       ปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดีมีค่านิยมที่ดีงาม และธำรง รักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และสังคมโลกอย่างสันติสุข
·       การเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และธำรงรักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข
·       เศรษฐศาสตร์
·       บริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภคใช้ทรัพยากร ที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจ หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ
·       สถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและ ความจำเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก
·       ประวัติศาสตร์
·       เวลา และยุคสมัยทางประวัติศาสตร์สามารถใช้วิธีการทาง ประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ
·       พัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในด้านความสัมพันธ์ และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์
·       ชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจและ ธำรงความเป็นไทย
·       ภูมิศาสตร์
·       โลกทางกายภาพ และความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งซึ่งมีผลต่อกันและกัน ในระบบของธรรมชาติใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ในการค้นหา วิเคราะห์ สรุป และใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศ
·       ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ก่อให้ เกิดการสร้างสรรค์วัฒนธรรม มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ อนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน


ข้อสอบ




3. วิชาภาษาอังกฤษ (80 ข้อ)
ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่ใช้ออกข้อสอบ ดังนี้
·       Listening/Speaking Skills – Situation dialogues
·       Everyday communication
·       Reading Skills – Graph/chart/diagram/table
·       Academic
·       General
·       Writing skills – Paragraph organization
·       Academic
4. วิชาคณิตศาสตร์ 1 (30 ข้อ)
ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่ใช้ออกข้อสอบ ดังนี้
·       ความรู้พื้นฐาน
·       เซตและการดำเนินการของเซต ตรรกศาสตร์เบื้องต้น ความสัมพันธ์ และฟังก์ชั่น
·       ระบบจำนวน
·       จำนวนเต็ม – (ทฤษฎีจำนวนเบื้องต้น) การหารและขั้นตอนการหาร ห.ร.ม. และ ค.ร.น
·       จำนวนจริง – การแก้สมการ และอสมการ ของพหุนามตัวแปรเดียว และในรูปค่าสัมบูรณ์
·       จำนวนเชิงซ้อน – การดำเนินการของจำนวนเชิงซ้อน จำนวน เชิงซ้อน ในรูปเชิงขั้วและการหารากที่ n การแก้สมการพหุนาม ที่มีรากที่เป็นจำนวนเชิงซ้อน
·       เรขาคณิต
·       เรขาคณิตวิเคราะห์ – เส้นตรง วงกลม วงรีพาราโบลา และไฮเปอร์โบลา
·       เวกเตอร์ – เวกเตอร์ใน 2 และ 3 มิติการบวก ลบ การคูณเชิง สเกลาร์ และการคูณเชิงเวกเตอร์
·       ตรีโกณมิติ – ฟังก์ชั่นตรีโกณมิติและฟังก์ชันผกผัน สมการรีโกณมิติกฎของโคไซน์และไซน์
·       พีชคณิต
·       เมทริกซ์และดีเทอร์มิแนนต์ – สมบัติของเมทริกซ์มิแนนต์ และดีเทอร์มิแนนท์ การดำเนินการตามแถว การหาตัวผกผันการคูณของเมทริกซ์ และการแก้ระบบสมการ
·       ฟังก์ชันเอกโพเนนเซียล – เลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็นจำนวนตรรกยะ ตรรกยะ สมบัติของเลขยกกำลัง ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียล สมการ และอสมการเอกซ์โพเนนเซียล
·       ฟังก์ชันลอการิทึม – ลอการิทึม และสมบัติของลอการิทึม ฟังก์ชันลอการิทึม สมการและอสมการลอการิทึม
·       ความน่าจะเป็นและสถิติ
·       ความน่าจะเป็น – วิธีเรียงสับเปลี่ยน และวิธีจัดหมู่ ทฤษฎีบทวินาม ความน่าจะเป็น และกฎพื้นฐานที่สำคัญ
·       การวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น – ค่ากลางของข้อมูล การวัดตำแหน่งที่และการวัดการกระจายของข้อมูล ความสัมพันธ์ระหว่างการแจกแจงความถี่ค่ากลาง ข้อมูล และการกระจายของข้อมูล
·       การแจกแจงปกติค่ามาตรฐาน – การแจกแจงปกติ และเส้งโค้ง
·       แคลคูลัส
·       ลำดับและอนุกรม – การลู่เข้าของลำดับและอนุกรม
·       ลิมิต – ลิมิต และความต่อเนื่อง
·       อนุพันธ์ – อนุพันธ์และสมบัติของอนุพันธ์ความชัน อนุพันธ์ของ ฟังก์ชันประกอบ การประยุกต์
·       ปริพันธ์ – ปริพันธ์ไม่จำกัดเขต ปริพันธ์จำกัดเขต การหาพื้นที่ที่ปิดล้อมด้วยเส้นโค้ง
·       ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์
·       เชื่อมโยงความรู้ต่างๆ ในสาระที่ 1-6 เพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์


ข้อสอบ




5. วิชาฟิสิกส์ (25 ข้อ)
ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่ใช้ออกข้อสอบ ดังนี้
·       กลศาสตร์ – จนศาสตร์แรงและการเคลื่อนที่แรงต้านการเคลื่อนที่ การเคลื่อนที่แบบวงกลม การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ การเคลื่อนที่แบบมีคาบ (การเคลื่อนที่แบบกวัดแกว่ง) การหมุน สมดุล งาน-พลังงาน โมเมนตัม และการชน
·       สมบัติของสสาร – ความยืดหยุ่น กลศาสตร์ของไหล คลื่น แสง เสียง
·       ไฟฟ้า – ไฟฟ้าสถิต ไฟฟ้ากระแสตรง ไฟฟ้ากระแสสลับ
·       แม่เหล็ก – แรงแม่เหล็ก สนามแม่เหล็ก การหนี่ยวนำมอเตอร์/ไดนาโม คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
·       ฟิสิกส์ยุคใหม่ – แบบจำลองอะตอม ฟิสิกส์ควอนตัม สมการปฏิกิริยา นิวเคลียร์การสลายตัวของนิวเคลียส
ข้อสอบ





6. วิชาเคมี (50 ข้อ)
·       ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่ใช้ออกข้อสอบ ดังนี้
·       อะตอมและตารางธาตุ
·       พันธะเคมี
·       สมบัติของธาตุและสารประกอบ
·       ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี
·       ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส
·       อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
·       สมดุลเคมี
·       กรด-เบส
·       ไฟฟ้าเคมี
·       ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม
·       เคมีอินทรีย์
·       เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์
7. วิชาชีววิทยา (80 ข้อ)
·       ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่ใช้ออกข้อสอบ ดังนี้
·       สิ่งมีชิวิตกับการดำรงชีวิต
·       ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
·       เคมีพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต
·       เซลล์ของสิ่งมีชีวิต
·       ระบบย่อยอาหารและการสลายอาหารให้ได้พลังงาน
·       ระบบหมุนเวียนเลือด
·       ระบบขับถ่าย
·       ระบบหายใจ
·       การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
·       การรับรู้และการตอบสนอง
·       ระบบต่อมไร้ท่อ
·       การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์
·       ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
·       โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
·       การสังเคราะห์ด้วยแสง
·       การสืบพันธุ์ของพืชดอก
·       การตอบสนองของพืช
·       การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
·       ยีนและโครโมโซม
·       พันธุศาสตร์และเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
·       วิวัฒนาการ
·       ความหลากหลายทางชีวภาพ
·       ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
·       ดุลยภาพของระบบนิเวศ
·       ประชากรและกระบวนการเปลี่ยนแปลงแทนที่ของสิ่งมีชีวิต
·       พฤติกรรมสัตว์
·       มนุษย์กับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม


ข้อสอบ





8. วิชาคณิตศาสตร์ 2 (30 ข้อ)
·       ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่ใช้ออกข้อสอบ ดังนี้
·       จำนวนและการดำเนินการ
·       จำนวนจริง
·       ค่าสัมบูรณ์ของจำนวนจริง
·       รากที่ n ของจำนวนจริง และเลขยกกำลังที่มีเลขชี้กำลังเป็น จำนวนตรรกยะ
·       การประมาณค่า
·       การวัด
·       อัตราส่วนตรีโกณมิติและการนำไปใช้
·       พีชคณิต
·       เซตและการดำเนินการของเซต
·       การให้เหตุผลแบบอุปนัย และนิรนัย
·       ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
·       กราฟความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
·       สมการและอสมการตัวแปรเดียวของพหุนามดีกรีไม่เกินสอง
·       การนำกราฟไปใช้ในการแก้สมการและอสมการ
·       ลำดับ และการหาพจน์ทั่วไปของลำดับ
·       ลำดับ และอนุกรม เลขคณิต และเรขาคณิต
·       ความน่าจะเป็นและสถิติ
·       การแจกแจงความถี่ของข้อมูล
·       ค่ากลางของข้อมูล
·       การวัดการกระจายของข้อมูล
·       การวัดตำแหน่งที่ของข้อมูล
·       กฎเกณฑ์เบื้องต้นเกี่ยวกับการนับ
·       ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์
ข้อสอบ




9. วิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป (50 ข้อ)
·       ประกอบไปด้วยเนื้อหาที่ใช้ออกข้อสอบ ดังนี้
·       พันธุกรรม
·       สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
·       ความหลากหลายทางชีวภาพ
·       อยู่ดีมีสุข
·       อยู่อย่างปลอดภัย
·       ธาตุและสารประกอบ
·       ปฏิกิริยาเคมี
·       สารชีวโมเลกุล
·       ปิโตรเลียม
·       พอลิเมอร์
·       การเคลื่อนที่
·       แรงในธรรมชาติ
·       คลื่นกล
·       เสียง
·       คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
·       พลังงานนิวเคลียร์
·       โครงสร้างโลก
·       การแปรสัณฐานของแผ่นธรณี
·       แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด
·       ธรณีประวัติ
·       กำเนิดเอกภพ
·       ดาวฤกษ์
·       ระบบสุริยะ
·       เทคโนโลยีอวกาศ
·       กระบวนการทางวิทยาศาสตร์





GAT/PAT คืออะไร

คือการสอบความถนัดทั่วไป GAT ซึ่งย่อมาจากคำว่า (General Aptitude Test) หรือการทดสอบความถนัดทั่วไป ส่วน PAT คือการสอบความถนัดด้านวิชาการ (Professional A Aptitude Test หรือ PAT) คือ การสอบวัดศักยภาพของนักเรียนที่จะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย และข้อสอบจะแยกเป็น 2 ตอน เพื่อจะได้เน้น การเขียน การอ่าน การคิดวิเคราะห์เป็นหลักมากกว่า และก็จะมีการสอบสื่อสารภาษอังกฤษอีกด้วย

รายละเอียดเกี่ยว กับ GAT
1. เนื้อหา การสอบ
- การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์และการแก้โจทย์ ปัญหา (ทาง คณิตศาสตร์) 50%
- การสื่อสารด้วยภาษา อังกฤษ 50%
2. ลักษณะข้อสอบ GAT จะเป็นปรนัยและอัตนัย
- คะแนนเต็ม 200 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง
- ข้อสอบ เน้น Content Free และ Fair
- เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก
- มีการออกข้อสอบเก็บไว้เป็นคลังข้อ สอบ
3.สอบปีละหลายครั้ง
- คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด (จะสอบ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้)
รายละเอียดเกี่ยวกับ PAT
ย่อมาจาก Professional Aptitude Test
เป็นการสอบวัดความถนัดเฉพาะทางวิชาชีพ แบ่งเป็น 6 ชุด ประกอบด้วย
PAT 1 วัดศักยภาพทางคณิตศาสตร์
- เนื้อหา เช่น Algebra, Probability and Statistics, Conversion, Geometry, Trigonomentry, Calculus ฯลฯ
- ลัษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills
PAT 2 วัดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์
- เนื้อหา ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, Earth Sciences, Environment, ICT ฯลฯ
- ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Sciences Reading Ability, Science Problem Solving Ability ฯลฯ
PAT 3 วัดศักยภาพทางวิศวกรรมศาสตร์
- เนื้อหา เช่น Engineering Mathematics, Engineering Sciences, Life Sciences, IT ฯลฯ
- ลักษณะข้อสอบ Engineering Aptitude i.e. Multidimensional Preceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability
PAT 4 วัดศักยภาพทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
- เนื้อหา เช่น Architectural Math and Sciences ฯลฯ
- ลักษณะข้อสอบ Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability
PAT 5 วัดศักยภาพทางครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์
- เนื้อหา เช่น ความรู้ในเนื้อหาภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ
- ลักษณะข้อสอบ ครุศาสตร์ (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills), ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนักเรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ
PAT 6 วัดศักยภาพทางศิลปกรรมศาสตร์
- เนื้อหา เช่น ทฤษฎีศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ความรู้ทั่วไปทางศิลป์ ฯลฯ
- ลักษณะ ข้อสอบ ความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ
PAT 7 วัดศักยภาพทางภาษาต่างประเทศที่ 2
- เนื้อหา จะเป็นพื้นฐานการเรียนต่อ เช่น Grammar, Vocabulary Culture, Pronunciation Functions
- ลักษณะข้อสอบ Paraphasing, Summarizing Applying Concepts and Principles, Problem Solving skills, Critical Thinking skills, Questioning skills, Analytical skills

ลักษณะข้อสอบ PAT
- จะเป็นปรนัย และอัตนัย
- เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก
- มีการออกข้อสอบเก็บไว้ในคลังข้อ สอบ
การจัดสอบ
- เมื่อนักเรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยจัดสอบปีละ 2 ครั้ง
- คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่ สุด

ผลสำรวจการอ่านของคนไทย

ข้อมูลผลสำรวจการอ่านของประชากร พ.ศ. 2558 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่นำมาเผยแพร่อย่างกว้างขวางโดยทีเคพาร์คนั้น ถูกพูดถึงผ่านสื่อทุกแขนง และรับรู้ทั่วไปไล่เรื่อยไปจนถึงระดับผู้นำประเทศ หากมองเฉพาะตัวเลขสถิติเพียงอย่างเดียวก็ให้แง่มุมชวนคิดหลายอย่าง ยิ่งลองใช้ข้อมูลชุดเดียวกันแต่คิดลึกลงไปอีกชั้น ก็จะยิ่งพบข้อเท็จจริงอีกหลายประเด็นที่มีทั้งความน่าสนใจและน่าตกใจไปพร้อมกัน

ปริมาณการอ่านลดลง ความเหลื่อมล้ำในการอ่านเพิ่มขึ้น

จากผลการสำรวจพบว่า ประชากรอายุ ปีขึ้นไป มีอัตราการอ่านร้อยละ 77.7 (48.4 ล้านคน) หรือมีคนอ่านลดลงจากการสำรวจรอบที่แล้ว (พ.ศ. 2556) ประมาณ ล้านคนเศษ และมีผู้ไม่อ่านร้อยละ 22.3 (13.9 ล้านคน) เพิ่มขึ้นจากการสำรวจรอบที่แล้วประมาณ ล้านคนเศษเช่นกัน


สาเหตุของความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มีความเป็นไปได้หลายกรณี ที่น่าจะชัดเจนคือกิจกรรมการรณรงค์สาธารณะส่งผลโดยตรงต่อปริมาณการอ่าน กล่าวคือ ในการสำรวจเมื่อปี 2556 อยู่ในห้วงเวลาที่กรุงเทพมหานครได้รับเลือกจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองหนังสือโลก (World Book Capital) จึงมีข่าวคราว กิจกรรมและการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการอ่านอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจสังคมการเมือง ก็อาจมีผลต่อการอ่านของประชากรอยู่ไม่น้อย เนื่องเพราะในปี 2557 ต่อเนื่องถึงตลอดปี 2558 ปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง และบรรยากาศการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เป็นปรากฏการณ์ที่ล้วนส่งผลทางลบต่อการนำเสนอและการรับรู้ข่าวสาร ตลอดจนการอ่านและการเขียนทั้งสิ้น




ในทางกลับกัน ถึงแม้ว่าจำนวนคนอ่านจะลดลง แต่ความเหลื่อมล้ำของการอ่านก็ยังคงมีอยู่ และเป็นความเหลื่อมล้ำที่มีช่องว่างเพิ่มมากขึ้น พิจารณาได้จากอัตราการอ่านของประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลเทียบกับนอกเขตเทศบาล เท่ากับร้อยละ 82.9 และ 73.4 หรือต่างกัน 9.5% เปรียบเทียบกับข้อมูลเมื่อสองปีก่อน ความแตกต่างนี้เท่ากับ 8% หมายความว่าช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้อาศัยอยู่ในเขตเมืองและนอกเมืองนั้นถ่างกว้างขึ้น แสดงว่าคนอ่านคือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งมีโอกาสเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมได้มากกว่า
ส่วนคนกรุงเทพฯ มีอัตราการอ่านสูงกว่าคนในภาคอื่นๆ อย่างชัดเจน (คิดเป็น 93.5% ขณะที่ภาคอื่นอยู่ในระดับ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ - ต่ำสุดคือภาคอีสาน 73.0% รองลงมาคือภาคเหนือ 74.3%)
ตัวเลขที่แตกต่างกันของแต่ละภาคนั้นอาจมาจากหลายสาเหตุ มิใช่เหตุปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น ซึ่งควรมีการศึกษาวิจัยโดยละเอียดต่อไป อาทิ ปัญหาการเข้าถึงหนังสือและสื่อการอ่าน ปัญหาการเข้าถึงแหล่งการอ่าน ปัญหาคุณภาพหนังสือหรือเนื้อหาสาระที่อาจไม่สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจสังคมของพื้นที่นั้นๆ และปัญหาเชิงสังคมวัฒนธรรม เช่น ข้อจำกัดด้านภาษา ศาสนา ความเชื่อ และชาติพันธุ์ เป็นต้น

สื่อใหม่และไอทีทำให้คนใช้เวลาอ่านเพิ่มขึ้น

สถิติการอ่านปี 2558 พบว่าเวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการอ่านเพิ่มสูงขึ้น เท่ากับ 66 นาทีต่อวัน (เทียบกับเมื่อสองปีก่อนเท่ากับ 37 นาทีต่อวัน) หรือเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เหตุผลสำคัญที่ระยะเวลาในการอ่านเพิ่มขึ้นนั้นเป็นเพราะการสำรวจครั้งนี้ได้มีการกำหนดขอบเขตนิยามคำว่า “การอ่าน” ที่กว้างขวางครอบคลุมไปถึงสื่อใหม่ด้วย เช่น สื่อสังคมออนไลน์/SMS/E-mail มิได้จำกัดเพียงเฉพาะสื่อหนังสือที่เป็นกระดาษ ดังนั้นสื่อใหม่ที่สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้นจึงส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อพฤติกรรมและปริมาณการอ่าน เห็นได้อย่างชัดเจนในกลุ่มเยาวชน (อายุ 15-24 ปี) ซึ่งใช้เวลาอ่านมากที่สุดถึง 94 นาทีต่อวัน
แต่... ความนิยมอ่านหนังสือรูปแบบกระดาษก็ลดลงไม่มากนัก เพราะมีผู้อ่านสูงถึงร้อยละ 96.1 ยังคงนิยมอ่านหนังสือที่เป็นรูปเล่มหรือเอกสาร (ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนประมาณ 3%) ขณะที่ประมาณร้อยละ 55 อ่านเนื้อหาจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์หลากหลายเช่น โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ อีบุ๊ค อีเมล ไฟล์ข้อมูลและซีดี ผ่านอุปกรณ์ประเภทต่างๆ ทั้งพีซีคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ค สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต และคาดว่าความนิยมอ่านสื่อใหม่ผ่านอุปกรณ์ไร้สาย (mobile devices) น่าจะเพิ่มสูงขึ้นในการสำรวจครั้งต่อๆ ไป
จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์ไอทีส่งผลกระทบเชิงลบต่อการอ่านหนังสือที่เป็นกระดาษบ้างแต่ก็นับว่าน้อยมาก แต่กลับทำให้มีแนวโน้มที่คนจะอ่านมากขึ้น (หรือใช้เวลาอ่านนานขึ้น) เพราะผู้อ่านมีช่องทางเข้าถึงการอ่านได้หลากหลายและสะดวกมากยิ่งขึ้น


เหนือ-อีสาน อ่านน้อย แต่ใช้งานห้องสมุดมากกว่าภาคอื่น

ว่าด้วยเรื่องของห้องสมุดและแหล่งการอ่าน จากผลสำรวจพบว่าผู้อ่านอายุ ปีขึ้นไป มีการใช้บริการห้องสมุดด้วยการยืมหรือไปอ่านที่ห้องสมุด เพียงร้อยละ 12.9 (ประมาณ 6.2 ล้านคน) ในจำนวนนี้ใช้ห้องสมุดโรงเรียนหรือสถานศึกษามากที่สุดคือประมาณ 4.3 ล้านคน ใช้ห้องสมุดประชาชน/ที่อ่านหนังสือชุมชน/แหล่งเรียนรู้ในชุมชน ประมาณ 1.7 ล้านคน

ที่น่าสนใจคือภูมิภาคที่มีผู้อ่านใช้บริการห้องสมุดมากที่สุดคือภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เท่ากันทั้งสองภาคคือร้อยละ 17.7 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยภาพรวมประเทศที่ร้อยละ 12.9) ขณะที่ กทม. และภาคกลาง แม้จะมีอัตราการอ่านสูง แต่การใช้ประโยชน์จากห้องสมุดกลับน้อยมากเพียงร้อยละ 8.5 และ 8.6 ตามลำดับ ตัวเลขนี้ชัดเจนว่าในพื้นที่ซึ่งมีปริมาณการอ่านน้อย จะมีอัตราการเข้าใช้ห้องสมุดมากกว่าพื้นที่ที่มีปริมาณการอ่านมาก

ภายใน ปีจะไม่มีใครไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด

ถ้าดูตัวเลขผลสำรวจสถานที่ที่คนนิยมอ่าน จะพบว่า ห้องสมุดสาธารณะก็ไม่ใช่แหล่งที่ผู้คนนิยมใช้เป็นสถานที่อ่านเท่าไรนัก คือมีเพียงร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับ บ้าน ที่ทำงาน หรือสถานศึกษา ซึ่งเท่ากับร้อยละ 84.3, 25.2 และ 21.7 ตามลำดับ หรือมีผู้ใช้ห้องสมุดเป็นสถานที่อ่านประมาณ 5.8 แสนคนเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจากประมาณ ล้านคนเมื่อปี 2554 เหลือ แสนคนเศษเมื่อปี 2556 แต่หากรวมเอาที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน/ชุมชน/แหล่งเรียนรู้ในชุมชน อีกร้อยละ เท่ากับว่ามีผู้อ่านใช้ห้องสมุดกับแหล่งที่คล้ายห้องสมุดเป็นสถานที่สำหรับอ่าน รวมกันเท่ากับร้อยละ 4.2 หรือประมาณ ล้านคน ซึ่งก็ยังนับว่าน้อยมากอยู่ดี
ผลสำรวจการอ่านในประเด็นนี้ตอกย้ำคำถามโตๆ ว่า ถึงเวลาหรือยังที่ห้องสมุดของไทยจำเป็นต้องปรับตัว เพราะหากตัวเลขจำนวนผู้ใช้ห้องสมุดลดลงในอัตราข้างต้นอย่างคงที่ นั่นหมายความว่าภายใน ปีนับจากนี้จะไม่มีผู้ใช้บริการไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเหลืออยู่อีกเลย
การลดลงของปริมาณผู้ใช้ห้องสมุดในฐานะที่เป็นแหล่งการอ่านและการค้นคว้าข้อมูลเช่นนี้นับเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะการแพร่หลายของการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการสืบค้น แม้แต่ห้องสมุดในหลายประเทศต่างก็พยายามปรับตัวให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมใหม่เพื่อความอยู่รอด รูปแบบหลักของการปรับตัวของห้องสมุดในต่างประเทศ คือการเปลี่ยนบทบาทจากสถานที่อ่านและยืมคืนหนังสือเพียงอย่างเดียว ไปเป็นพื้นที่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนในการเรียนรู้รูปแบบอื่นๆ ที่แตกต่างหลากหลายนอกเหนือไปจากการอ่าน


เด็กไทย 450,000 คน อ่านไม่ออก-อ่านไม่คล่อง

คนไทยอายุ ปีขึ้นไปที่ไม่อ่านหนังสือ ให้เหตุผลที่ไม่อ่านว่าเป็นเพราะอ่านหนังสือไม่ออก ร้อยละ 20.6 หรือประมาณ 2.8 ล้านคน ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนประมาณ แสนคน แต่ที่น่าสนใจอยู่ที่กลุ่มเด็กอายุ 6-14 ปี หรือผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับ ป.1-ม.การสำรวจครั้งนี้พบว่ามีผู้ระบุว่าอ่านไม่ออกถึงร้อยละ 31.7 คิดเป็นจำนวน แสนคนเศษ หากรวมเด็กกลุ่มอายุเดียวกันนี้ที่ตอบว่าไม่อ่านเพราะ อ่านไม่คล่อง/อ่านได้เพียงเล็กน้อย อีกร้อยละ 34.7 จำนวนเด็ก ป.1-ม.ที่อ่านไม่ออก/อ่านไม่คล่อง/อ่านได้เพียงเล็กน้อย จะสูงถึง 4.5 แสนคน เป็นภารกิจสำคัญที่หน่วยงานหลักอย่างกระทรวงศึกษาธิการ คงต้องเร่งหาแนวทางแก้ไข 

คนไทยขาดนิสัยรักการอ่าน 3,400,000 คน

อีกเหตุผลหนึ่งที่คนไม่อ่าน คือ ไม่ชอบหรือไม่สนใจอ่าน (อ่านออก แต่ไม่ชอบอ่าน) มีร้อยละ 24.8 หรือประมาณ 3.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อนถึง 1.4 ล้านคน นี่คือกลุ่มซึ่งควรได้รับการส่งเสริมปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน นอกเหนือไปจากกลุ่มที่รักการอ่านหรืออ่านหนังสือจนเป็นนิสัยอยู่แล้ว พูดง่ายๆ นี่คือกลุ่มเป้าหมายของหน่วยงานภาคีส่งเสริมการอ่าน รวมถึงทีเคพาร์คด้วย
หากพิจารณาเฉพาะกลุ่มเยาวชนช่วงอายุระหว่าง 15-24 ปีที่ไม่อ่าน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 9.8 แสนคน ใกล้เคียงกับผลการสำรวจครั้งก่อน - - เพิ่มขึ้นประมาณ หมื่นคน ในจำนวนนี้ระบุว่าไม่ชอบหรือไม่สนใจอ่าน (ขาดนิสัยรักการอ่าน) สูงถึง 3.6 แสนคน หรือเพิ่มขึ้น 1.1 แสนคนเมื่อเทียบกับการสำรวจครั้งที่แล้ว อาจกล่าวได้ว่าวัยรุ่นกลุ่มนี้ควรได้รับการส่งเสริมการอ่านที่เข้มข้นยิ่งกว่ากลุ่มวัยรุ่นที่ชอบอ่านหนังสือหรือเดินเข้าห้องสมุดเป็นประจำเสียอีก


เพราะเหตุใด??? เด็กไทยอ่านหนังสือน้อยลง

หนังสือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สามารถให้ความรู้ได้หลายด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษาและด้านความรู้รอบตัวที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ล้วนแต่เป็นความรู้ที่มาจากการอ่านหนังสือทั้งนั้น แต่คนในปัจจุบันไม่ได้ให้ความสำคัญกับหนังสือ เนื่องจากมีสื่อและสิ่งเร้าต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมากขึ้นพบว่าเด็กไทยอ่านหนังสือลดลงเกือบทุกวัน เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม ความเป็นอยู่ การศึกษาและค่านิยมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมรวมทั้งสภาพแวดล้อมในปัจจุบันอีกด้วย ในขณะเดียวกันการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในสังคมนั้นไม่ได้มาจากการอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่หากจะมีสื่อชนิดอื่นที่มีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมาในสังคมอีกมากมาย 


เช่น อินเตอร์เน็ต อีเมล์ มือถือคอมพิวเตอร์แบบพกพา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ และความสามารถสืบค้นหาความรู้จากสื่อนั้นได้ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านวิชาการ บันเทิง หรือประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ทุกคนมีช่องทางในการค้นหาความรู้มากขึ้นเป็นผลให้เด็กไทยอ่านหนังสือน้อยลงและหันมาศึกษาหาความรู้จากด้านอื่นมากขึ้น เพราะมีความสะดวกสบาย และประหยัดเวลา นอกจากนี้การที่เด็กไทยอ่านหนังสือน้อยลงยังเป็นผลมาจากการที่ถูกสิ่งต่างๆ ที่น่าดึงดูดและน่าสนใจกว่า เช่น โลกอินเตอร์เน็ตต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อคนในปัจจุบันมาก เนื่องจากการมีค่านิยมที่ผิดๆ คือ การที่คิดว่าการอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่ล้าสมัยรวมไปถึงการใช้เวลาว่างที่ไม่ถูกต้องในทุกทุกวัน  (นายวรพันธ์ โลกิตสถาพร นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย) 

สาเหตุที่เด็กไทยใช้เวลาว่างอ่านหนังสือน้อยลง


เกิดจากการทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เบียดบังเวลาอ่านหนังสือ ในแต่ละวันเด็กไทยใช้เวลาดูโทรทัศน์วันละ 3-6 ชั่วโมง เล่นเกมวันละ1-2 ชั่วโมง และพูดคุยโทรศัพท์ แชทผ่านทางมือถือวันละ 2-4 ชั่วโมง ซึ่งการใช้โทรศัพท์เป็นภัยคุกคามการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในด้านการอ่านหนังสือและค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม ดังนั้นแนวทางการส่งเสริมให้เด็กหันมาอ่านหนังสือมากขึ้น ก็จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อช่วงชิงเวลาการคุยโทรศัพท์เปลี่ยนมาอ่านหนังสือให้ได้ ถ้าไม่เร่งแก้ปัญหานี้ก็จะยิ่งทำให้เด็กไทยอ่านหนังสือน้อยลง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลเสียต่อตนเองและสังคมไทยในปัจจุบัน การที่มีสิ่งเร้าทำให้เด็กไทยทั่วทุกภาคของประเทศอ่านหนังสือลดลง และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ หาไม่ได้รับการแก้ไขอาจจะทำให้เด็กไม่มีนิสัยรักการอ่าน หากเปรียบเทียบกับกราฟตัวอย่างพบว่า เด็กเขตกรุงเทพมหานครยังมีนิสัยรักการอ่านเพราะมีการแข่งขันกันสูง แต่ที่น่าห่วงคือนอกเขตในจังหวัดอื่นแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางที่มีแนวโน้มการอ่านหนังสือลดลงเพราะอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการที่ทำให้เด็กไม่ชอบอ่านหนังสือ เช่น ไม่มีการแข่งขันกันสูง พ่อและแม่ไม่มีเวลาสอนหนังสือ การที่เด็กอ่านหนังสือแค่วันละ 27-29 นาที เป็นการอ่านหนังสือที่ใช้เวลาน้อยมาก และเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เด็กส่วนใหญ่ชอบใช้เวลาว่างในการเล่นเกม เล่นอินเตอร์เน็ต คุยโทรศัพท์ ไม่สนใจที่จะทบทวนบทเรียนหรืออ่านหนังสือ และในกลุ่มวัยทำงานก็มักจะไม่อ่านหนังสือหรืออ่านเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับงานของตนเท่านั้น สภาพปัญหาเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าระบบการศึกษาในประเทศไทยยังไม่สามารถทำให้ผลผลิตของการศึกษากลายเป็นผลผลิตที่มองเห็นความจำเป็นของการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะเด็กคืออนาคตของชาติ เด็กไม่ฉลาดชาติก็ไม่เจริญ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กิจกรรมที่ 5 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์

กิจกรรมที่5 from Manop Amphonyothin